วันลอยกระทงของทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือถ้าเป็นปฏิทินจันทรคติล้านนาจะตรงกับเดือนยี่ และหากเป็นปฏิทินสุริยคติจะราวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเดือน 12 นี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว อากาศจึงเย็นสบาย และอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก มีน้ำขี้นเต็มฝั่ง ทำให้เห็นสายน้ำอย่างชัดเจน อีกทั้งวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทำให้สามารถเห็นแม่น้ำที่มีแสงจันทร์ส่องกระทบลงมา เป็นภาพที่ดูงดงามเหมาะแก่การชมเป็นอย่างยิ่ง
วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 วันลอยกระทง
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552
นักวิชาการชี้ข้อสอบ GAT-PATยากเกินไป
แนะ เด็กไทย เปลี่ยนนิสัย กิน หวาน พอเหมาะเพื่อสุขภาพ
วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ต่างก็รู้ดีว่าการนอนไม่หลับทำให้เวลาเราตื่นมาตอนเช้าไม่สดชื่นไม่อยากตื่น อาจทำให้มาทำงานสายได้นะค่ะ วันนี้เรามีเคล็ดลับมาบอกค่ะ
1. ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วจะช่วยให้ระบบทำงานต่าง ๆ ในร่างกายดีขึ้น แต่ก่อนนอนไม่ควรดื่มมากนะเดี๋ยวจะต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก
2. ห้องนอนควรใช้สีอ่อน ๆ ดูสบายตาในการตกแต่ง อย่าง สีโทน Pastel
3. มื้อเย็นควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด มิฉะนั้นอาจเกิดอาการจุดเสียดปวดท้องและทำให้นอนไม่หลับได้
4. การออกกำลังกายดีต่อสุขภาพและช่วยให้หลับสบาย แต่ทางที่ดีควรทำให้เสร็จก่อนนอนซัก 3 ชั่วโมงนะ ไม่งั้นอาจทำให้ประสาทตื่นตัวและนอนไม่หลับได้
5. กาแฟ แน่นอนว่ามีส่วนทำให้นอนไม่หลับเนื่องจากมีคาเฟอีนอยู่ คนที่นอนไม่ค่อยหลับ ไม่ควรดื่มแต่ถ้าห้ามใจไม่ได้ก็ดื่มแบบไม่มีคาเฟอีนดีกว่านะ
6. วิตามิน ซี ดี บีรวม และแคลเซียมมีผลต่อระบบประสาท ทั้งยังช่วยลดความกระวนกระวายได้
7. เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อาจช่วยให้ง่วงและนอนหลับได้ง่ายขึ้น แต่จะส่งผลต่อประสาทและอาจทำให้ฝันร้ายได้นะ
8. จิตใจฟุ้งซ่านย่อมทำให้นอนไม่หลับ ลองนั่งสมาธิ หรือทำให้โยคะดูจะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น หรือจะนอนนับแกะก็ได้นะ
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
>>>เลี่ยงอาหาร 7 อย่าง ยามท้องว่าง <<<
1. นมและถั่วเหลือง เมนูยอดนิยมสำหรับใครหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความสะดวกในการรับประทานหรือประหยัดเวลา นมมักเป็นคำตอบแรกเวลาหิว แต่แม้จะอุดมด้วยโปรตีนและเชื่อว่าการดื่มนมเยอะๆจะมีประโยชน์นั้น แทที่จริงแล้วการดื่มนมและถั่วหลืองเช่นน้ำเต้าหู้จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่ ดังนั้นการเลือกรับประทานนมตอนท้องว่าง จะทำให้ท้องอืดได้
2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน การที่คนเราเสียพลังงานไปเยอะนั้น จริงอยู่ว่าร่างกายต้องได้รับการเสริมสร้างจากเกลือแร่และน้ำตาลเมื่อเรารู้สึกอ่อนเพลีย แต่ทว่าหากท้องว่างแล้วนั้น การเลือกดื่มน้ำหวาน หรือของหวานเช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ซึ่งส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไตได้
3. ผัก บางคนอาจคิดว่าการทานผักเยอะๆแทนข้าว โดยเฉพาะนที่ต้องการลดควมอ้วนนั้น เป็นความคิดที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนแล้ว การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด
4. กล้วย คนส่วนใหญ่มักเชื่อกันว่า การทานกล้วยเยอะๆจะทำให้ระบบขับถ่ายดี แต่มักลืมกันไปว่าหากทานกล้วยในช่วงเวลาตอนท้องว่างแล้ว นอกจากจะทำให้ท้องอืด ยังจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมซึ่งเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ อันเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก
5. ชาแก่ ตื่นเช้าแล้วจิบน้ำชาสักแก้ว ดูแล้วเข้าท่าและน่าจะดี แต่หารู้ไม่ว่าการจิบชาร้อนโดยเฉพาะชาแก่ช่วงท้องว่างนั้นจะทำให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิ[คำไม่พึงประสงค์]าการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง
6. ลูกพลับ เป็นอีกหนึ่งชนิดต้องห้ามยามท้องว่าง เพราลูกพลับจะเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
7. เหล้า กระเทียม เป็นสิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรรับประทานในขณะท้องว่าง เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะมีส่วนเพิ่งแรงกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
อย่างไรก็ตาม ขณะท้องว่างนั้น เราไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำมากและเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา เราควรดื่มน้ำอุ่นๆสัก1-2แก้ว เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ อีกทั้งยังช่วยปรับระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นอีกด้วย
วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552
===> ปิรามิด ( Pyramid ) <===
ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 แห่งด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี
ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่า มหาปิรามิด
- ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 5770,000 ตาราง 768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว - ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร
สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้ อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต
ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง
ปิรามิดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์ในสมัยนั้นเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ดังนั้นจึงต้องแน่ใจว่ากษัตริย์ของพวกเขาจะทรงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับโลกหน้า พวกเขาได้ฝังทรัพย์สินและสิ่งของส่วนพระองค์ไปพร้อมกัน สิ่งที่นักโบราณคดีค้นพบเป็นจำนวนมากในห้องเก็บสมบัติ ของปิรามิดได้แก่ เพชรพลอย อาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี และอุปกรณ์ล่าสัตว์
ปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดและประทับใจที่สุดคือ ปิรามิดของกษัตริย์คีอ็อปส์ ที่กีซา สร้างเสร็จเมื่อประมาณ 2580 ปีกอนคริสตกาล โดยมีผู้ก่อสร้างหลายพันคนและใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 30 ปี ปิรามิดแห่งกีซานี้สูงประมาณ 137 เมตร(449 ฟุต) ฐานแต่ละด้านยาว 230 เมตร(755 ฟุต) ใช้หินในการก่อสร้างทั้งหมด 2 ล้านก้อน แต่ละก้อนหนักประมาณ 2300 กิโลกรัม ใกล้กับปิรามิดใหญ่นี้มีปิรามิดเล็กๆอีก 3 องค์ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของพระราชินีองค์สำคัญๆของกษัตริย์คีอ็อปส์ ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้ใช้เครื่องจักรในการสร้างปิรามิด มีแต่เพียงแรงงานมนุษย์กับเครื่องมือธรรมดาๆในการก่อสร้างเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ผู้ที่สร้างปิรามิดไม่ใช่พวกทาส แต่เป็นช่างฝีมือและชาวนาที่อยู่ว่างในระหว่างที่น้ำจากแม่น้ำไนล์ท่วมพื้นที่ทำการเกษตรของตน แม้ว่าประชาชนนับพันๆคนที่มาช่วยสร้างปิรามิดจะทำงานเพื่อแลกกับอาหารและเสื้อผ้า แต่ทุกคนก็ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างที่ฝังพระศพของกษัตริย์ที่พวกเขานับถือเป็นเทพเจ้า
การสร้างปิรามิดนั้นเริ่มจากการหาสถานที่ที่เหมาะสม และ ใช้ดวงดาวช่วยในการวางราก ฐาน ดังนั้นจึงพบว่าฐานทั้งสี่ด้านของปิรามิดที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะหันไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก เมื่อวางรากฐานเรียบร้อยแล้วก็จะเริ่มก่อปิรามิดเป็นชั้นๆสูงขึ้นไป โดยเริ่มต้นจากจุดศูนย์กลางออกไปด้านนอก วัสดุที่ใช้สร้างปิรามิดคือหินที่สกัดมาจากภูเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำไนล์ การขนย้ายก็ทำด้วยความยากลำบากเพราะไม่มีเครื่องทุ่นแรงหรือพาหนะอย่างใดเลย แต่ใช้เชือกและแรงงานคนลากมาจนถึงบริเวณก่อสร้างในสมัยโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน ปิรามิดสร้างด้วยความยากลำบากจากหยาดเหงื่อแรงงานและกำลังใจของประชาชน จึงทำให้ปิรามิดได้รับการจัดลำดับให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ความน่าทึ่งของปิรามิด ทำให้คนเป็นจำนวนมากไม่เชื่อว่าสิ่งก่อสร้างรูปทรงเรขาคณิตที่มีขนาดใหญ่อย่างน่ามหัศจรรย์แห่งนี้ ถูกสร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ เพราะหินแต่ละก้อนมีน้ำหนักมากจนเทคโนโลยีบัจจุบันยังยกไม่ขึ้น แต่หินเหล่านั้นกลับถูกยกขึ้นไปวางทับซ้อนกันอย่างเหมาะเจาะลงตัว อย่าง พิสดาร เกินกว่าจินตนาการของมนุษย์ยุคนี้จะสามารถหาคำตอบมาตอบได้อย่างกระจ่าง คำตอบต่างๆ ที่นักวิทยาศาตร์พยายามเสนอวิธีการก่อสร้างต่างๆ นั้นเป็นเพียงแค่ ทฤษฎี เท่านั้น ยังไม่มีมนุษย์คนใดในยุคนี้ที่คิดสร้างปิรามิดให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่า มหาปิรามิดที่สร้างด้วยฝีมือคนโบราณ ..... และมันยังคงเป็นโจทย์ที่ต้องหาข้อสรุปต่อไปว่า
" ใครเป็นผู้สร้างปิรามิดกันแน่ "