วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นักวิชาการชี้ข้อสอบ GAT-PATยากเกินไป


นักวิชาการจี้ยกเลิกระบบคิดคะแนนติดลบ ชี้ข้อสอบยากเกินไป ผอ.สทศ.รับลูก เตรียมวิเคราะห์หาคำตอบสัปดาห์หน้า หลังผลสอบ"GAT-PAT"ครั้งสอง เด็กทำคะแนนเฉลี่ยต่ำ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะกำกับดูแลสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยถึงกรณีผลการจัดสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (PAT) ครั้งที่ 2 เดือนกรกฎาคม เพื่อใช้ประกอบการสมัครรับคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือระบบแอดมิสชั่นส์ ปีการศึกษา 2553 โดยพบว่าคะแนนเฉลี่ยทุกวิชายังไม่ถึง 50% เช่นเดิม โดยเฉพาะคะแนน PAT ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ลดลงจากการสอบครั้งแรก ทั้งที่ได้คาดการณ์กันว่าคะแนนสอบน่าจะสูงขึ้น ว่า ตนได้พูดคุยหารือกับนางอุทุมพร จามรมาน ผู้อำนวยการ สทศ.และได้มอบหมายให้ไปวิเคราะห์หาสาเหตุแล้วว่าทำไมผลการทดสอบครั้งที่สอง คะแนนจึงไม่สูงขึ้นจากครั้งแรก และบางวิชา คะแนนลดลงด้วยซ้ำ ทั้งที่นักเรียนมีความรู้เพิ่มมากขึ้นและคาดการณ์กันว่าน่าจะตั้งใจทำคะแนนมากกว่าครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวจะยังไม่ฟันธงว่าข้อสอบยากหรือไม่ได้มาตรฐาน แต่จะให้เวลา สทศ.ไปวิเคราะห์ซึ่งคิดว่าคงใช้เวลาไม่นานนักด้านนางอุทุมพรกล่าวว่า คะแนนเฉลี่ย PAT ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ที่ลดลงจากการสอบครั้งแรก 2-3 คะแนนนั้น อาจเป็นผลจากความคลาดเคลื่อนของเครื่องมือวัดซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ สัปดาห์หน้าจะวิเคราะห์ช่วงคะแนน 80-100 คะแนนว่าจะมีนักเรียนทำคะแนนในช่วงดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นจากการสอบครั้งแรกหรือไม่ ซึ่งข้อมูลนี้น่าจะวิเคราะห์ได้ดีกว่า ส่วนตัวคิดว่าจำนวนนักเรียนที่ทำคะแนนในช่วง 80-100 คะแนน น่าจะเพิ่มจำนวนสูงขึ้นกว่าการสอบครั้งแรก ซึ่งจะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่านักเรียนได้เรียนรู้และคุ้นเคยกับข้อสอบลักษณะนี้มากขึ้น แต่คงไม่ใช่ด้วยเหตุผลของความยากง่ายของข้อสอบ เพราะเรื่องนี้ สทศ.ยังคงรักษาระดับความยากง่ายไว้ในการสอบทุกครั้งนางอุทุมพรกล่าวว่า ทั้งนี้ หลังวิเคราะห์ช่วงคะแนนสอบของทุกวิชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว สทศ.จะนำเสนอต่อ นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.), รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. ในฐานะกำกับดูแล สทศ. รวมถึงนำเสนอผู้ออกข้อสอบ เพื่อจะได้พิจารณาวิเคราะห์กันต่อไป เพราะตอนนี้นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ออกมาติงว่าข้อสอบ GAT 2 ภาษาอังกฤษ ยากเกินไป แม้นำไปให้อาจารย์ในสถาบันภาษา จุฬาฯ ทดสอบ ก็ยังเห็นว่ายากเกินไปสำหรับเด็ก ซึ่งยืนยันว่าข้อสอบ GAT และ PAT ไม่ยาก เพราะถ้ายาก แปลว่าต้องออกนอกเหนือจากหลักสูตรการเรียนการสอน แต่เรายืนยันข้อสอบดังกล่าว ออกตามเนื้อหาหลักสูตรฯ เพียงแต่อาจซับซ้อนเพราะเราต้องการให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็น อย่างไรก็ตาม เมื่อนักวิชาการติงว่ายากเกินไป จะลองวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบให้สังคมและยินดีปรับปรุงถ้าผลออกมาว่ายากจริง "ตั้งแต่การจัดสอบ GAT และ PAT ครั้งที่ 1 เดือนมีนาคม ของปี 2553 เป็นต้นไป สทศ.จะเริ่มปรับปรุงข้อสอบโดยจะเพิ่มข้อสอบลักษณะให้อ่านเรื่อง สรุปผล และเติมตัวเลขเข้ามา จากเดิมที่มีเพียง Multiple-choice หรือมีคำตอบหลายคำตอบให้เลือก ทั้งนี้การเพิ่มข้อสอบดังกล่าวเข้ามา ก็เพื่อกำจัดจุดอ่อนของข้อสอบ Multiple-choice ที่พบว่าเด็กสามารถคาดเดาได้ถูก 25% แต่การเพิ่มข้อสอบในลักษณะอ่านสรุปเรื่อง จะทำให้เด็กเดายากมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผลสอบสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น" นางอุทุมพรกล่าวด้านนายสมพงษ์กล่าวว่า พูดคุยกับเพื่อนอาจารย์สถาบันภาษา จุฬาฯ ที่ได้นำข้อสอบ GAT 2 ภาษาอังกฤษ ไปลองทำดู พบว่ามีความยากมาก และจากการพูดคุยกับเด็กที่เข้าสอบ บอกว่าต้องนั่งอ่านข้อสอบถึงครึ่งชั่วโมงจึงจะเข้าใจและเริ่มทำข้อสอบได้ นอกจากนี้ผลคะแนนสอบ GAT 2 ภาษาอังกฤษ มีเด็กทำคะแนนได้ศูนย์คะแนนถึง 8,000 กว่าคน ดังนั้นย่อมสะท้อนถึงอะไรบางอย่างที่ สทศ.ควรต้องกลับมาวิเคราะห์ตัวเองว่าเด็กเรียนภาษาอังกฤษมา 12 ปีแต่ทำข้อสอบไม่ได้เลยนั้น เครื่องมือวัดมีปัญหาอะไรหรือไม่ โดยเฉพาะแนววิธีการวัดผลในวิชา GAT 2 ภาษาอังกฤษที่ตอบผิดแล้วติดลบนั้น ควรยกเลิกได้แล้ว เพราะทำให้เด็กไม่กล้าตอบ ซึ่งการทำข้อสอบ ก็ต้องมีการเสี่ยงเดากันบ้าง เป็นธรรมดา

แนะ เด็กไทย เปลี่ยนนิสัย กิน หวาน พอเหมาะเพื่อสุขภาพ


นักโภชนาการเผย น้ำตาล ถือเป็นอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย และมีความต้องการในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ง่ายและใกล้ชิดกับคนมากที่สุด แต่แนะนำเด็กไทยควรสร้างนิสัยการกินใหม่ บริโภคหวานไม่ให้เกินความจำเป็น เพื่อประโยชน์สูงสุด"การบริโภคอาหารที่ไม่สมดุลเกินปริมาณความต้องการของร่างกายย่อมส่งผลร้ายต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะผู้บริโภคที่เป็นเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นวัยที่ต้องการสารอาหารที่มีคุณค่า เพื่อพัฒนาการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง" ดร.เนตรนภิส กล่าวนักวิจัยสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวต่อว่า น้ำตาลถือเป็นอาหารที่มีความจำเป็นและมีความต้องการในชีวิตประจำวันของคนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ง่ายและใกล้ชิดกับคนมากที่สุด จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ การบริโภคในครัวเรือนเฉลี่ยใน 7 วัน ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมการใช้จ่ายบริโภคน้ำตาลและความหวานเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นจาก 24.10 บาทในปี 2545 เป็น 26.50 บาทในปี 2549ขณะเดียวกันข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ระบุว่า การบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยปี 2537 มีการบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 23.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ขณะที่ปี 2548 มีการบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 32.3 กิโลกรัมต่อคนต่อปีหรือโดยเฉลี่ยคนไทยจะบริโภคน้ำตาลวันละประมาณ 22 ช้อนชา หรือ 88 กรัมทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ในแต่ละวันร่างกายควรได้รับน้ำตาลในปริมาณ 10% ของปริมาณพลังงานที่ใช้ในแต่ละวัน เช่น ควรได้รับพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี ส่วนหนึ่งมาจากน้ำตาลที่เติมในอาหาร ร้อยละ 10 คือเท่ากับ 200 กิโลแคลอรี หรือเทียบเท่ากับน้ำตาลทราย 50 กรัม ประมาณ 10 ช้อนชา แต่ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วย ถ้าเป็นคนที่ออกกำลังกายมากๆ หรือใช้แรงงานมากๆ และไม่เป็นโรคเบาหวาน ก็รับประทานน้ำตาลมากกว่าร้อยละ 10 ของพลังงานได้ต่อสุขภาพ

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552



ต่างก็รู้ดีว่าการนอนไม่หลับทำให้เวลาเราตื่นมาตอนเช้าไม่สดชื่นไม่อยากตื่น อาจทำให้มาทำงานสายได้นะค่ะ วันนี้เรามีเคล็ดลับมาบอกค่ะ


1. ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วจะช่วยให้ระบบทำงานต่าง ๆ ในร่างกายดีขึ้น แต่ก่อนนอนไม่ควรดื่มมากนะเดี๋ยวจะต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก


2. ห้องนอนควรใช้สีอ่อน ๆ ดูสบายตาในการตกแต่ง อย่าง สีโทน Pastel


3. มื้อเย็นควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด มิฉะนั้นอาจเกิดอาการจุดเสียดปวดท้องและทำให้นอนไม่หลับได้


4. การออกกำลังกายดีต่อสุขภาพและช่วยให้หลับสบาย แต่ทางที่ดีควรทำให้เสร็จก่อนนอนซัก 3 ชั่วโมงนะ ไม่งั้นอาจทำให้ประสาทตื่นตัวและนอนไม่หลับได้


5. กาแฟ แน่นอนว่ามีส่วนทำให้นอนไม่หลับเนื่องจากมีคาเฟอีนอยู่ คนที่นอนไม่ค่อยหลับ ไม่ควรดื่มแต่ถ้าห้ามใจไม่ได้ก็ดื่มแบบไม่มีคาเฟอีนดีกว่านะ


6. วิตามิน ซี ดี บีรวม และแคลเซียมมีผลต่อระบบประสาท ทั้งยังช่วยลดความกระวนกระวายได้


7. เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อาจช่วยให้ง่วงและนอนหลับได้ง่ายขึ้น แต่จะส่งผลต่อประสาทและอาจทำให้ฝันร้ายได้นะ


8. จิตใจฟุ้งซ่านย่อมทำให้นอนไม่หลับ ลองนั่งสมาธิ หรือทำให้โยคะดูจะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น หรือจะนอนนับแกะก็ได้นะ