วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 วันลอยกระทง


กำหนดวันลอยกระทง

วันลอยกระทงของทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือถ้าเป็นปฏิทินจันทรคติล้านนาจะตรงกับเดือนยี่ และหากเป็นปฏิทินสุริยคติจะราวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเดือน 12 นี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว อากาศจึงเย็นสบาย และอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก มีน้ำขี้นเต็มฝั่ง ทำให้เห็นสายน้ำอย่างชัดเจน อีกทั้งวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทำให้สามารถเห็นแม่น้ำที่มีแสงจันทร์ส่องกระทบลงมา เป็นภาพที่ดูงดงามเหมาะแก่การชมเป็นอย่างยิ่ง


ประวัติความเป็นมาของวันลอยกระทง

ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า "พิธีจองเปรียญ" หรือ "การลอยพระประทีป" และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน


ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้า

ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม ดังปรากฎในหนังสือนางนพมาศที่ว่า

"ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..."

เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า "ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน" พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวดประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรงคนและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือลอยประทีปถวายองค์ละลำแทนกระทงใหญ่ และเรียกชื่อว่า "เรือลอยประทีป" ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นักวิชาการชี้ข้อสอบ GAT-PATยากเกินไป


นักวิชาการจี้ยกเลิกระบบคิดคะแนนติดลบ ชี้ข้อสอบยากเกินไป ผอ.สทศ.รับลูก เตรียมวิเคราะห์หาคำตอบสัปดาห์หน้า หลังผลสอบ"GAT-PAT"ครั้งสอง เด็กทำคะแนนเฉลี่ยต่ำ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะกำกับดูแลสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยถึงกรณีผลการจัดสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (PAT) ครั้งที่ 2 เดือนกรกฎาคม เพื่อใช้ประกอบการสมัครรับคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือระบบแอดมิสชั่นส์ ปีการศึกษา 2553 โดยพบว่าคะแนนเฉลี่ยทุกวิชายังไม่ถึง 50% เช่นเดิม โดยเฉพาะคะแนน PAT ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ลดลงจากการสอบครั้งแรก ทั้งที่ได้คาดการณ์กันว่าคะแนนสอบน่าจะสูงขึ้น ว่า ตนได้พูดคุยหารือกับนางอุทุมพร จามรมาน ผู้อำนวยการ สทศ.และได้มอบหมายให้ไปวิเคราะห์หาสาเหตุแล้วว่าทำไมผลการทดสอบครั้งที่สอง คะแนนจึงไม่สูงขึ้นจากครั้งแรก และบางวิชา คะแนนลดลงด้วยซ้ำ ทั้งที่นักเรียนมีความรู้เพิ่มมากขึ้นและคาดการณ์กันว่าน่าจะตั้งใจทำคะแนนมากกว่าครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวจะยังไม่ฟันธงว่าข้อสอบยากหรือไม่ได้มาตรฐาน แต่จะให้เวลา สทศ.ไปวิเคราะห์ซึ่งคิดว่าคงใช้เวลาไม่นานนักด้านนางอุทุมพรกล่าวว่า คะแนนเฉลี่ย PAT ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ที่ลดลงจากการสอบครั้งแรก 2-3 คะแนนนั้น อาจเป็นผลจากความคลาดเคลื่อนของเครื่องมือวัดซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ สัปดาห์หน้าจะวิเคราะห์ช่วงคะแนน 80-100 คะแนนว่าจะมีนักเรียนทำคะแนนในช่วงดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นจากการสอบครั้งแรกหรือไม่ ซึ่งข้อมูลนี้น่าจะวิเคราะห์ได้ดีกว่า ส่วนตัวคิดว่าจำนวนนักเรียนที่ทำคะแนนในช่วง 80-100 คะแนน น่าจะเพิ่มจำนวนสูงขึ้นกว่าการสอบครั้งแรก ซึ่งจะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่านักเรียนได้เรียนรู้และคุ้นเคยกับข้อสอบลักษณะนี้มากขึ้น แต่คงไม่ใช่ด้วยเหตุผลของความยากง่ายของข้อสอบ เพราะเรื่องนี้ สทศ.ยังคงรักษาระดับความยากง่ายไว้ในการสอบทุกครั้งนางอุทุมพรกล่าวว่า ทั้งนี้ หลังวิเคราะห์ช่วงคะแนนสอบของทุกวิชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว สทศ.จะนำเสนอต่อ นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.), รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. ในฐานะกำกับดูแล สทศ. รวมถึงนำเสนอผู้ออกข้อสอบ เพื่อจะได้พิจารณาวิเคราะห์กันต่อไป เพราะตอนนี้นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ออกมาติงว่าข้อสอบ GAT 2 ภาษาอังกฤษ ยากเกินไป แม้นำไปให้อาจารย์ในสถาบันภาษา จุฬาฯ ทดสอบ ก็ยังเห็นว่ายากเกินไปสำหรับเด็ก ซึ่งยืนยันว่าข้อสอบ GAT และ PAT ไม่ยาก เพราะถ้ายาก แปลว่าต้องออกนอกเหนือจากหลักสูตรการเรียนการสอน แต่เรายืนยันข้อสอบดังกล่าว ออกตามเนื้อหาหลักสูตรฯ เพียงแต่อาจซับซ้อนเพราะเราต้องการให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็น อย่างไรก็ตาม เมื่อนักวิชาการติงว่ายากเกินไป จะลองวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบให้สังคมและยินดีปรับปรุงถ้าผลออกมาว่ายากจริง "ตั้งแต่การจัดสอบ GAT และ PAT ครั้งที่ 1 เดือนมีนาคม ของปี 2553 เป็นต้นไป สทศ.จะเริ่มปรับปรุงข้อสอบโดยจะเพิ่มข้อสอบลักษณะให้อ่านเรื่อง สรุปผล และเติมตัวเลขเข้ามา จากเดิมที่มีเพียง Multiple-choice หรือมีคำตอบหลายคำตอบให้เลือก ทั้งนี้การเพิ่มข้อสอบดังกล่าวเข้ามา ก็เพื่อกำจัดจุดอ่อนของข้อสอบ Multiple-choice ที่พบว่าเด็กสามารถคาดเดาได้ถูก 25% แต่การเพิ่มข้อสอบในลักษณะอ่านสรุปเรื่อง จะทำให้เด็กเดายากมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผลสอบสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น" นางอุทุมพรกล่าวด้านนายสมพงษ์กล่าวว่า พูดคุยกับเพื่อนอาจารย์สถาบันภาษา จุฬาฯ ที่ได้นำข้อสอบ GAT 2 ภาษาอังกฤษ ไปลองทำดู พบว่ามีความยากมาก และจากการพูดคุยกับเด็กที่เข้าสอบ บอกว่าต้องนั่งอ่านข้อสอบถึงครึ่งชั่วโมงจึงจะเข้าใจและเริ่มทำข้อสอบได้ นอกจากนี้ผลคะแนนสอบ GAT 2 ภาษาอังกฤษ มีเด็กทำคะแนนได้ศูนย์คะแนนถึง 8,000 กว่าคน ดังนั้นย่อมสะท้อนถึงอะไรบางอย่างที่ สทศ.ควรต้องกลับมาวิเคราะห์ตัวเองว่าเด็กเรียนภาษาอังกฤษมา 12 ปีแต่ทำข้อสอบไม่ได้เลยนั้น เครื่องมือวัดมีปัญหาอะไรหรือไม่ โดยเฉพาะแนววิธีการวัดผลในวิชา GAT 2 ภาษาอังกฤษที่ตอบผิดแล้วติดลบนั้น ควรยกเลิกได้แล้ว เพราะทำให้เด็กไม่กล้าตอบ ซึ่งการทำข้อสอบ ก็ต้องมีการเสี่ยงเดากันบ้าง เป็นธรรมดา

แนะ เด็กไทย เปลี่ยนนิสัย กิน หวาน พอเหมาะเพื่อสุขภาพ


นักโภชนาการเผย น้ำตาล ถือเป็นอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย และมีความต้องการในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ง่ายและใกล้ชิดกับคนมากที่สุด แต่แนะนำเด็กไทยควรสร้างนิสัยการกินใหม่ บริโภคหวานไม่ให้เกินความจำเป็น เพื่อประโยชน์สูงสุด"การบริโภคอาหารที่ไม่สมดุลเกินปริมาณความต้องการของร่างกายย่อมส่งผลร้ายต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะผู้บริโภคที่เป็นเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นวัยที่ต้องการสารอาหารที่มีคุณค่า เพื่อพัฒนาการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง" ดร.เนตรนภิส กล่าวนักวิจัยสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวต่อว่า น้ำตาลถือเป็นอาหารที่มีความจำเป็นและมีความต้องการในชีวิตประจำวันของคนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ง่ายและใกล้ชิดกับคนมากที่สุด จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ การบริโภคในครัวเรือนเฉลี่ยใน 7 วัน ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมการใช้จ่ายบริโภคน้ำตาลและความหวานเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นจาก 24.10 บาทในปี 2545 เป็น 26.50 บาทในปี 2549ขณะเดียวกันข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ระบุว่า การบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยปี 2537 มีการบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 23.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ขณะที่ปี 2548 มีการบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 32.3 กิโลกรัมต่อคนต่อปีหรือโดยเฉลี่ยคนไทยจะบริโภคน้ำตาลวันละประมาณ 22 ช้อนชา หรือ 88 กรัมทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ในแต่ละวันร่างกายควรได้รับน้ำตาลในปริมาณ 10% ของปริมาณพลังงานที่ใช้ในแต่ละวัน เช่น ควรได้รับพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี ส่วนหนึ่งมาจากน้ำตาลที่เติมในอาหาร ร้อยละ 10 คือเท่ากับ 200 กิโลแคลอรี หรือเทียบเท่ากับน้ำตาลทราย 50 กรัม ประมาณ 10 ช้อนชา แต่ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วย ถ้าเป็นคนที่ออกกำลังกายมากๆ หรือใช้แรงงานมากๆ และไม่เป็นโรคเบาหวาน ก็รับประทานน้ำตาลมากกว่าร้อยละ 10 ของพลังงานได้ต่อสุขภาพ

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552



ต่างก็รู้ดีว่าการนอนไม่หลับทำให้เวลาเราตื่นมาตอนเช้าไม่สดชื่นไม่อยากตื่น อาจทำให้มาทำงานสายได้นะค่ะ วันนี้เรามีเคล็ดลับมาบอกค่ะ


1. ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วจะช่วยให้ระบบทำงานต่าง ๆ ในร่างกายดีขึ้น แต่ก่อนนอนไม่ควรดื่มมากนะเดี๋ยวจะต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก


2. ห้องนอนควรใช้สีอ่อน ๆ ดูสบายตาในการตกแต่ง อย่าง สีโทน Pastel


3. มื้อเย็นควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด มิฉะนั้นอาจเกิดอาการจุดเสียดปวดท้องและทำให้นอนไม่หลับได้


4. การออกกำลังกายดีต่อสุขภาพและช่วยให้หลับสบาย แต่ทางที่ดีควรทำให้เสร็จก่อนนอนซัก 3 ชั่วโมงนะ ไม่งั้นอาจทำให้ประสาทตื่นตัวและนอนไม่หลับได้


5. กาแฟ แน่นอนว่ามีส่วนทำให้นอนไม่หลับเนื่องจากมีคาเฟอีนอยู่ คนที่นอนไม่ค่อยหลับ ไม่ควรดื่มแต่ถ้าห้ามใจไม่ได้ก็ดื่มแบบไม่มีคาเฟอีนดีกว่านะ


6. วิตามิน ซี ดี บีรวม และแคลเซียมมีผลต่อระบบประสาท ทั้งยังช่วยลดความกระวนกระวายได้


7. เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อาจช่วยให้ง่วงและนอนหลับได้ง่ายขึ้น แต่จะส่งผลต่อประสาทและอาจทำให้ฝันร้ายได้นะ


8. จิตใจฟุ้งซ่านย่อมทำให้นอนไม่หลับ ลองนั่งสมาธิ หรือทำให้โยคะดูจะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น หรือจะนอนนับแกะก็ได้นะ


วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

>>>เลี่ยงอาหาร 7 อย่าง ยามท้องว่าง <<<

หากใครเคยหิวจนมือไม้สั่น ไม่มีแรงพอที่จะออกไปซื้ออาหารมารับประทานเหมือนทุกครั้ง และหาอาหารอะไรก็ได้ใส่ท้องเพียงแค่ประทังชีวิต โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงสุขภาพเท่าที่ควรนั้น ในวันนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวังและเอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกินมากขึ้นแล้วเพราะอาหารบางประเภทไม่เหมาะที่จะรับประทานในช่วงท้องว่างๆ ส่วนมีอะไรบ้างนั้น ลองมาดูกันเลยค่ะ
1. นมและถั่วเหลือง เมนูยอดนิยมสำหรับใครหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความสะดวกในการรับประทานหรือประหยัดเวลา นมมักเป็นคำตอบแรกเวลาหิว แต่แม้จะอุดมด้วยโปรตีนและเชื่อว่าการดื่มนมเยอะๆจะมีประโยชน์นั้น แทที่จริงแล้วการดื่มนมและถั่วหลืองเช่นน้ำเต้าหู้จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่ ดังนั้นการเลือกรับประทานนมตอนท้องว่าง จะทำให้ท้องอืดได้
2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน การที่คนเราเสียพลังงานไปเยอะนั้น จริงอยู่ว่าร่างกายต้องได้รับการเสริมสร้างจากเกลือแร่และน้ำตาลเมื่อเรารู้สึกอ่อนเพลีย แต่ทว่าหากท้องว่างแล้วนั้น การเลือกดื่มน้ำหวาน หรือของหวานเช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ซึ่งส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไตได้
3. ผัก บางคนอาจคิดว่าการทานผักเยอะๆแทนข้าว โดยเฉพาะนที่ต้องการลดควมอ้วนนั้น เป็นความคิดที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนแล้ว การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด
4. กล้วย คนส่วนใหญ่มักเชื่อกันว่า การทานกล้วยเยอะๆจะทำให้ระบบขับถ่ายดี แต่มักลืมกันไปว่าหากทานกล้วยในช่วงเวลาตอนท้องว่างแล้ว นอกจากจะทำให้ท้องอืด ยังจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมซึ่งเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ อันเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก
5. ชาแก่ ตื่นเช้าแล้วจิบน้ำชาสักแก้ว ดูแล้วเข้าท่าและน่าจะดี แต่หารู้ไม่ว่าการจิบชาร้อนโดยเฉพาะชาแก่ช่วงท้องว่างนั้นจะทำให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิ[คำไม่พึงประสงค์]าการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง
6. ลูกพลับ เป็นอีกหนึ่งชนิดต้องห้ามยามท้องว่าง เพราลูกพลับจะเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
7. เหล้า กระเทียม เป็นสิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรรับประทานในขณะท้องว่าง เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะมีส่วนเพิ่งแรงกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
อย่างไรก็ตาม ขณะท้องว่างนั้น เราไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำมากและเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา เราควรดื่มน้ำอุ่นๆสัก1-2แก้ว เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ อีกทั้งยังช่วยปรับระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

===> ปิรามิด ( Pyramid ) <===


ท่ามกลางที่ราบอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เปลวแดดที่ร้อนระอุไปทั่วผืนทะเลทราย แผ่นดินที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงสีแดง สิ่งก่อสร้างที่สูงใหญ่ตั้งสง่าสะดุดสายตาเมื่อได้พบเห็น สิ่งนั้นคือ ปิรามิด (Pyramid) เป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อท้าทายกระแสลม แสงแดดที่แผดเผามาเป็นเวลานานหลายพันปี เพื่อแสดงถึงอารยธรรม -โบราณของมนุษย์ ต่อสายตาชาวโลกยุคใหม่ที่ยังคงฉงนสนเท่ไม่น้อยเมื่อมาพบเห็น
ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 แห่งด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี
ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่า มหาปิรามิด
- ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 5770,000 ตาราง 768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว - ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร
สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้ อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต
ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง

ปิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็น ปิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิด เล็กกว่ามหาปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว


ปิรามิดไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากปิรามิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน



สิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทรายใกล้แม่น้ำไนล์ก็คือ หมู่ปิรามิดแห่งอียิปต์ ปิรามิดสร้างโดยชาวอียิปต์โบราณมาเกือบ 5000 ปีมาแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นสิ่งก่อสร้างที่ เก่าแก่ที่สุดในบรรดา 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณด้วย และที่สำคัญก็คือเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน
ปิรามิดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์ในสมัยนั้นเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ดังนั้นจึงต้องแน่ใจว่ากษัตริย์ของพวกเขาจะทรงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับโลกหน้า พวกเขาได้ฝังทรัพย์สินและสิ่งของส่วนพระองค์ไปพร้อมกัน สิ่งที่นักโบราณคดีค้นพบเป็นจำนวนมากในห้องเก็บสมบัติ ของปิรามิดได้แก่ เพชรพลอย อาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี และอุปกรณ์ล่าสัตว์
ปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดและประทับใจที่สุดคือ ปิรามิดของกษัตริย์คีอ็อปส์ ที่กีซา สร้างเสร็จเมื่อประมาณ 2580 ปีกอนคริสตกาล โดยมีผู้ก่อสร้างหลายพันคนและใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 30 ปี ปิรามิดแห่งกีซานี้สูงประมาณ 137 เมตร(449 ฟุต) ฐานแต่ละด้านยาว 230 เมตร(755 ฟุต) ใช้หินในการก่อสร้างทั้งหมด 2 ล้านก้อน แต่ละก้อนหนักประมาณ 2300 กิโลกรัม ใกล้กับปิรามิดใหญ่นี้มีปิรามิดเล็กๆอีก 3 องค์ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของพระราชินีองค์สำคัญๆของกษัตริย์คีอ็อปส์ ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้ใช้เครื่องจักรในการสร้างปิรามิด มีแต่เพียงแรงงานมนุษย์กับเครื่องมือธรรมดาๆในการก่อสร้างเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ผู้ที่สร้างปิรามิดไม่ใช่พวกทาส แต่เป็นช่างฝีมือและชาวนาที่อยู่ว่างในระหว่างที่น้ำจากแม่น้ำไนล์ท่วมพื้นที่ทำการเกษตรของตน แม้ว่าประชาชนนับพันๆคนที่มาช่วยสร้างปิรามิดจะทำงานเพื่อแลกกับอาหารและเสื้อผ้า แต่ทุกคนก็ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างที่ฝังพระศพของกษัตริย์ที่พวกเขานับถือเป็นเทพเจ้า
การสร้างปิรามิดนั้นเริ่มจากการหาสถานที่ที่เหมาะสม และ ใช้ดวงดาวช่วยในการวางราก ฐาน ดังนั้นจึงพบว่าฐานทั้งสี่ด้านของปิรามิดที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะหันไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก เมื่อวางรากฐานเรียบร้อยแล้วก็จะเริ่มก่อปิรามิดเป็นชั้นๆสูงขึ้นไป โดยเริ่มต้นจากจุดศูนย์กลางออกไปด้านนอก วัสดุที่ใช้สร้างปิรามิดคือหินที่สกัดมาจากภูเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำไนล์ การขนย้ายก็ทำด้วยความยากลำบากเพราะไม่มีเครื่องทุ่นแรงหรือพาหนะอย่างใดเลย แต่ใช้เชือกและแรงงานคนลากมาจนถึงบริเวณก่อสร้างในสมัยโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน ปิรามิดสร้างด้วยความยากลำบากจากหยาดเหงื่อแรงงานและกำลังใจของประชาชน จึงทำให้ปิรามิดได้รับการจัดลำดับให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก



ความน่าทึ่งของปิรามิด ทำให้คนเป็นจำนวนมากไม่เชื่อว่าสิ่งก่อสร้างรูปทรงเรขาคณิตที่มีขนาดใหญ่อย่างน่ามหัศจรรย์แห่งนี้ ถูกสร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ เพราะหินแต่ละก้อนมีน้ำหนักมากจนเทคโนโลยีบัจจุบันยังยกไม่ขึ้น แต่หินเหล่านั้นกลับถูกยกขึ้นไปวางทับซ้อนกันอย่างเหมาะเจาะลงตัว อย่าง พิสดาร เกินกว่าจินตนาการของมนุษย์ยุคนี้จะสามารถหาคำตอบมาตอบได้อย่างกระจ่าง คำตอบต่างๆ ที่นักวิทยาศาตร์พยายามเสนอวิธีการก่อสร้างต่างๆ นั้นเป็นเพียงแค่ ทฤษฎี เท่านั้น ยังไม่มีมนุษย์คนใดในยุคนี้ที่คิดสร้างปิรามิดให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่า มหาปิรามิดที่สร้างด้วยฝีมือคนโบราณ ..... และมันยังคงเป็นโจทย์ที่ต้องหาข้อสรุปต่อไปว่า
" ใครเป็นผู้สร้างปิรามิดกันแน่ "